น้ำท่วมหาดใหญ่รอบนี้ไม่ได้มาเล่นๆ นะ! มันไม่ใช่แค่น้ำป่าไหลหลากเข้าบ้าน เข้าอาคาร แล้วรอแห้งเหมือนที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้มันไปกระแทก “ความเชื่อมั่น” ของคนหาบ้าน นักลงทุน และดีเวลอปเปอร์อสังหาฯ แบบจังๆ จนกูรูหลายคนประเมินว่า ตลาดอสังหาฯ ในหาดใหญ่ อาจจะต้องใช้เวลาเลียแผลและฟื้นตัวไม่ต่ำกว่า 6 เดือนเลยทีเดียว งานนี้มีหนาวกันถ้วนหน้า!
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ภัยธรรมชาติ” ทั่วไปแล้ว แต่มันคือ “Climate Risk” หรือความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศที่มันเปลี่ยนไปจริงๆ ฝนตกหนักทีเดียว น้ำมาเร็ว ระบายไม่ทัน กลายเป็นภาพที่คนหาดใหญ่ต้องเจอซ้ำๆ ทั้งที่ในใจไม่มีใครอยากจะชินกับมันเลยสักนิดเดียว
🏠 ดีเวลอปเปอร์ไม่ทิ้งลูกบ้าน: จากนักธุรกิจสู่ผู้กู้ภัย
ถามว่าฝั่งผู้พัฒนาโครงการอย่าง Supalai และเจ้าอื่นๆ ในพื้นที่ทำอะไรบ้าง? เขาไม่ได้อยู่เฉยๆ นะ! มีการระดมทีมงานและทรัพยากรลงไปช่วยลูกบ้านและชุมชนแบบเต็มกำลัง เช่น การจัดถุงยังชีพหลายพันชุด, ตั้งจุดพักพิงชั่วคราวในโครงการที่น้ำยังพอเอาอยู่ รวมถึงการดึงทีมจากจังหวัดใกล้เคียงอย่าง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ภูเก็ต มาช่วยสมทบด้วย
ภาพเหล่านี้มันบอกว่า “ธุรกิจอสังหาฯ ไม่ได้จบแค่การขายบ้าน” แต่พวกเขามีหน้าที่ดูแลลูกบ้านและทรัพย์สินในระยะยาวด้วย ยิ่งในวันที่เกิดภัยพิบัติ บทบาทของดีเวลอปเปอร์จะถูกจับตาเป็นพิเศษเลยล่ะ ว่าพร้อมแค่ไหนที่จะลุกขึ้นมาช่วยลูกค้าของตัวเองและจัดการสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้แบบนี้
📉 ตลาดอสังหาฯ หาดใหญ่ยุค “ความเชื่อมั่นสั่นไหว”
สมาคมด้านอสังหาฯ หลายแห่งมองตรงกันว่า น้ำท่วมครั้งนี้คือ “แรงสั่นสะเทือนลูกใหญ่” ที่ซ้ำเติมตลาดที่เดิมก็โดนกดดันอยู่แล้ว ทั้งเรื่องดอกเบี้ยที่ยังไม่ลงตามคาด กำลังซื้อที่ฟื้นตัวแบบติดๆ ขัดๆ และการแข่งขันที่ดุเดือดสุดๆ
พอมาเจอเรื่องน้ำท่วมหนักๆ เข้าไปอีก ภาพที่คนทั่วไปเห็นคือ:
- บ้านจัดสรร ที่เคยคิดว่า “ปลอดภัยกว่า” คอนโดฯ ก็โดนน้ำเข้าในบางพื้นที่
- คอนโดฯ ในบางทำเลก็มีปัญหาเรื่องการสัญจรเข้าออกในช่วงน้ำท่วม
- คนที่กำลังจะซื้อ กำลังจะจอง หรือจะโอนบ้าน ก็เริ่ม ชะลอการตัดสินใจ หรือแอบถอยไปตั้งหลักเงียบๆ เพื่อรอดูท่าที
ผู้เชี่ยวชาญฟันธงว่า แม้สถานการณ์จะกลับสู่ปกติ เรื่องการซ่อมแซม ทำความสะอาด อาจใช้เวลาไม่กี่เดือน แต่ “ความเชื่อมั่น” ของคนซื้อบ้าน โดยเฉพาะนักลงทุนที่มองหาดใหญ่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ อาจจะต้องรออย่างน้อย 6 เดือน กว่าบรรยากาศจะเริ่มกลับมาคึกคักและรู้สึกว่า “หาดใหญ่ยังไปต่อได้” เหมือนเดิม
💸 ตัวเลขความเสียหายและบทเรียนจากอดีต
เบื้องต้นประเมินกันว่า ความเสียหายรวมในภาคอสังหาฯ ภาคใต้รอบนี้อาจจะแตะระดับหลายหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว (มีการพูดถึงตัวเลขกลมๆ ราวๆ 25,000 ล้านบาท) ซึ่งยังไม่รวมผลกระทบทางอ้อม เช่น ยอดโอนที่ต้องเลื่อน ยอดจองที่หายไป และแผนลงทุนใหม่ๆ ที่ต้องเบรกไว้ก่อน
แต่ถ้าลองมองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ใหญ่ๆ อย่างสึนามิ หรือน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 หลายพื้นที่ก็ใช้เวลาฟื้นตัวประมาณ 1 ปี ซึ่งถือว่าเร็วมากเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น ครั้งนี้ที่หาดใหญ่เองก็มีโอกาสฟื้นตัวได้เร็ว ถ้า! มีการเร่งปรับปรุงระบบระบายน้ำ ผังเมือง และมาตรการป้องกันน้ำให้มันจริงจัง ไม่ใช่รอให้น้ำมาท่วมซ้ำแล้วค่อยมาแก้แบบไฟไหม้ฟาง
💡 3 ยุทธศาสตร์รับมือน้ำท่วมฉบับถาวร: เมือง – โครงการ – คน
สิ่งที่ทุกฝ่ายต้องคิดตรงกัน คือ ถ้าอยากให้ตลาดอสังหาฯ ฟื้นแบบยั่งยืน เราต้องไม่มองน้ำท่วมเป็นแค่ “เหตุการณ์ชั่วคราว” อีกแล้ว แต่ต้องเอา “ภัยพิบัติ” ใส่เข้าไปในทุกขั้นตอนการวางแผน ตั้งแต่ระดับเมืองไปจนถึงบ้านของเราเอง
1. ระดับเมือง: ผังเมืองต้องคิดเรื่องน้ำให้มากกว่าแค่ถนน
- ผังเมืองใหม่ต้องออกแบบโดยคิดถึงเส้นทางอพยพ การหนีน้ำ และเส้นทางให้ความช่วยเหลือฉุกเฉิน
- ต้องกล้าที่จะลดความหนาแน่นในโซนเสี่ยงน้ำท่วมสูง ไม่ใช่ฝืนธรรมชาติไปถมที่ลุ่มแล้วสร้างเมืองแบบเดิมๆ อีก
- เพิ่มพื้นที่ “แก้มลิงธรรมชาติ” คลอง และพื้นที่สีเขียวที่มันรองรับน้ำได้จริง ไม่ใช่แค่มีในแปลนกระดาษ
2. ระดับโครงการอสังหาฯ: มาตรฐานใหม่คือ “บ้านต้องทนน้ำ”
ดีเวลอปเปอร์จำเป็นต้องอัปเกรดมาตรฐานบ้าน จากแค่สวย ทำเลดี เป็น “ออกแบบให้รับมือภัยพิบัติได้” ด้วย เช่น:
- ออกแบบระบบโครงสร้างป้องกันน้ำรอบโครงการให้ชัดเจน
- ทำบ่อหน่วงน้ำใต้ดิน หรือพื้นที่แก้มลิงภายในหมู่บ้าน/โครงการ เพื่อชะลอน้ำได้จริง
- วางแปลนเส้นทางน้ำไหลฉุกเฉินและทางระบายน้ำเสริม เวลาฝนตกหนักแบบเฉียบพลัน
- ติดตั้งปั๊มระบายน้ำประจำโครงการที่มีกำลังพอ และมีแผนสำรองไฟฉุกเฉิน
ถ้าโครงการไหนทำได้ดี บอกเลยว่าสิ่งที่ได้กลับมาไม่ใช่แค่ความปลอดภัยของลูกบ้าน แต่มันคือ “ความเชื่อมั่น” ที่คนซื้อยุคนี้เขาให้ความสำคัญมากกว่าโปรโมชั่นลดราคาเยอะเลย!
3. ระดับประชาชน: เจ้าของบ้านต้องปรับวิธีคิดและวิถีชีวิต
ยุค Climate Risk นี้ ทำให้เราต้องอยู่ในโหมด “อยู่ให้ได้กับความแปรปรวน” มากกว่าจะหวังให้ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม เจ้าของบ้านสมัยนี้เลยต้องช่วยตัวเองด้วย เช่น:
- ปรับบ้านให้พร้อมรับน้ำ: ยกปลั๊กไฟให้สูงขึ้น เลือกใช้วัสดุที่ทนน้ำได้ และทำความสะอาดง่าย
- จัดเก็บของสำคัญ: เอกสารสำคัญต้องอยู่ในที่ปลอดภัยและเข้าถึงง่าย เตรียมแผนเผื่อฉุกเฉินสำหรับการอพยพ
- ใช้ชีวิตแบบ Green Living: ลดการใช้พลังงาน ลดขยะ แม้จะดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่มันคือตัวต่อชิ้นเล็กๆ ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้
- ทำความเข้าใจประกันภัย: เช็กให้ละเอียดว่าประกันบ้าน/คอนโดที่เรามีอยู่มันคุ้มครองน้ำท่วมแค่ไหน เงื่อนไขเป็นยังไง จะได้ไม่โป๊ะแตกทีหลัง
ทั้งหมดนี้จะช่วยให้บ้านเรา “พร้อมกว่าเดิม” ไม่ว่าจะเจอน้ำมาเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องลุ้นจนตัวโก่ง
🔮 ภาพใหญ่ของตลาดอสังหาฯ หาดใหญ่หลังน้ำลด
หลังจากน้ำลดแล้ว สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในตลาดอสังหาฯ หาดใหญ่ช่วง 6 เดือน – 1 ปีข้างหน้า คือ:
- การตัดสินใจซื้อจะช้าลง แต่คนซื้อจะถามเยอะขึ้นมาก: คนซื้อบ้านจะไม่ดูแค่ทำเลกับราคาอีกต่อไป แต่จะถามละเอียดเลยว่าโครงการนี้เคยน้ำท่วมไหม? แก้ปัญหายังไง? ระบบระบายน้ำเป็นแบบไหน?
- โครงการใหม่จะเอา “การป้องกันน้ำท่วม” มาเป็นจุดขาย: ดีเวลอปเปอร์ที่ปรับตัวเร็ว จะใช้เรื่องระบบจัดการน้ำ โครงสร้างป้องกันน้ำ และมาตรการรับมือภัยพิบัติมาเป็น Selling Point หลัก ซึ่งจะทำให้พวกเขาได้เปรียบสุดๆ
- เจ้าของบ้านบางส่วนอาจย้ายออกจากโซนเสี่ยง: คนที่ทนไม่ไหวกับการต้องลุ้นน้ำท่วมทุกปี อาจจะเริ่มคิดทยอยขายบ้าน ย้ายไปหาทำเลที่ชัวร์กว่า หรือเปลี่ยนรูปแบบที่อยู่อาศัยไปเลย
- นักลงทุนจะเลือก “แบรนด์” และ “มาตรการป้องกัน” มากกว่าแค่ราคาถูก: เพราะความเสี่ยงจากน้ำท่วมก็คือความเสี่ยงที่มูลค่าทรัพย์สินจะลดลงในอนาคต ใครที่เดินเกมผิดพลาดก็เหมือนถือของเสี่ยงในมือเต็มๆ
💬 FAQ: 3 คำถามที่คนหาดใหญ่สงสัยเรื่องน้ำท่วมกับอสังหาฯ
Q1: ถ้าจะซื้อบ้านในหาดใหญ่ตอนนี้ ควรรอไปก่อนไหม? A: ถ้าไม่รีบมาก การรอสังเกตการณ์ 3-6 เดือนเป็นไอเดียที่ดีมากค่ะ จะได้เห็นว่าพื้นที่ไหนมีการจัดการน้ำดี มีการปรับปรุงระบบระบายน้ำหรือมาตรการใหม่ๆ ชัดเจน แต่ถ้าต้องย้ายบ้านจริงๆ แนะนำให้ “สืบประวัติ” พื้นที่ให้ละเอียด ถามข้อมูลจากโครงการ และดูระดับพื้นดิน ความสูงถนนทางเข้าออกเป็นพิเศษเลยนะ
Q2: บ้านที่เคยโดนน้ำท่วมไปแล้ว มูลค่าจะตกเยอะไหม? A: ระยะสั้นเนี่ยแน่นอนว่าผู้ซื้อใหม่จะต้องต่อรองราคามากขึ้นอยู่แล้วค่ะ แต่ในระยะยาวขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของบ้านและพื้นที่นั้นๆ มีการปรับปรุง ป้องกัน และพัฒนาระบบระบายน้ำได้จริงจังแค่ไหน ถ้าพื้นที่สามารถแก้ปัญหาได้ดีและไม่ท่วมซ้ำซาก มูลค่าทรัพย์สินก็มีโอกาสฟื้นกลับมาได้ค่ะ อย่าเพิ่งท้อนะ!
Q3: เจ้าของบ้านควรเตรียมตัวยังไงสำหรับน้ำท่วมครั้งหน้า แบบที่ว่า “มาเมื่อไหร่ก็ไม่หวั่น”? A: เริ่มจากเช็กกรมธรรม์ ประกันภัย บ้าน/คอนโด ว่าคุ้มครองน้ำท่วมแค่ไหน ปรับจุดปลั๊กไฟและเฟอร์นิเจอร์สำคัญให้อยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย เก็บเอกสารสำคัญให้เป็นระบบ และที่สำคัญคือ รวมกลุ่มกับเพื่อนบ้าน พูดคุยกับนิติบุคคลหรือเทศบาลเรื่องการขุดลอกคลอง ปรับปรุงท่อระบายน้ำ เป็นการช่วยกันตั้งรับทั้งในระดับบ้านและระดับชุมชนเลยค่ะ