โห! ใครจะคิดว่าอยู่ดี ๆ เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในไทยช่วงหลัง ๆ นี้ จะมาเปลี่ยนมุมมองคนหาบ้านไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยนะ! จากที่เคยคิดแค่ว่า “ขอใกล้รถไฟฟ้า, ราคาพอไหว, ทำเลดี ๆ” เป็นใช้ได้ วันนี้สมการมันกลับตาลปัตร กลายเป็นว่า “ความมั่นคงของอาคาร” คือพระเอกตัวจริงที่ต้องมาก่อนเพื่อน!
ข้อมูลจาก TerraBKK ที่เขาไปสำรวจมานี่ชัดเจนมากนะ (สำรวจตั้ง 2,000 กว่าคน!) พอเจอแรงสั่นสะเทือนหนัก ๆ เข้าไป คนจำนวนไม่น้อยก็เริ่มกลับมาถามตัวเองดัง ๆ ว่า “ที่เราอยู่ทุกวันนี้มันแข็งแรง ปลอดภัยพอจริง ๆ เหรอวะ?” และนั่นแหละคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้มาตรฐานโครงสร้างของโครงการกลายเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งที่คนยุคใหม่ให้ความสนใจแบบติดจรวด!
คนไทยยังอยากมีบ้าน…แต่ขอแบบ “อยู่แล้วอุ่นใจ ไม่ต้องมานั่งเสียวสันหลัง”
แม้ว่าเศรษฐกิจจะยังดูซึม ๆ ไม่ฟื้นเต็มที่ แต่แปลกนะ…ผลสำรวจกลับบอกว่าคนไทย 41% มีแผนซื้อบ้านใหม่ภายใน 3 ปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน (36% ในปี 2024) แปลว่าดีมานด์เรื่องบ้านยังไงก็มี แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ “ความต้องการในใจ” จากบ้านสวย ทำเลหรู กลายเป็นบ้านที่ “มั่นคง ปลอดภัย อยู่แล้วไม่ต้องผวาเวลาโลกสั่น”
แล้วพอ Mindset เปลี่ยน รูปแบบบ้านที่คนสนใจก็เปลี่ยนตามไปด้วย:
- ทาวน์โฮม ขยับความนิยมจาก 24% ไปเป็น 30%
- บ้านเดี่ยว ที่เคยนำโด่ง 80% กว่า ๆ ก็ลดลงมาเหลือ 60% กลาง ๆ
นี่มันสะท้อนว่า คนเริ่มระวังเรื่องงบประมาณมากขึ้น แต่อยากได้บ้านที่อยู่สบาย ปลอดภัย และใช้พื้นที่คุ้มค่า นอกจากนี้ หลายคน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ก็เริ่มมองข้ามอาคารสูง แล้วหันมาสนใจบ้านแนวราบมากขึ้น เพราะไม่อยากเสี่ยงกับตึกสูงเวลาเกิดแผ่นดินไหว
แผ่นดินไหวเปลี่ยน Mindset: แบรนด์และโครงสร้าง คือตัวจริง แซง ราคาและทำเล
จุดเปลี่ยนที่สำคัญสุด ๆ คือ หลังแผ่นดินไหว คำถามที่เคยอยู่ในใจคนซื้อเปลี่ยนจาก:
“ใกล้ BTS/MRT ไหม? ราคาดีป่าว? โปรโมชั่นลดแลกแจกแถมแรงแค่ไหน?”
กลายเป็นคำถามที่เน้นความมั่นคงแบบเต็ม ๆ:
“โครงการนี้โครงสร้างได้มาตรฐานจริงดิ? ใช้วัสดุเกรดไหน? วิศวกรเป็นใคร? แบรนด์มันน่าเชื่อถือได้ยาว ๆ หรือเปล่า?“
TerraBKK ชี้เลยว่าตอนนี้ทุกเจนฯ คือเอา “โครงสร้าง–คุณภาพก่อสร้าง” เป็นปัจจัยอันดับ 1 ในการตัดสินใจ โดยเฉพาะ Gen X ที่ส่วนใหญ่มีบ้านแล้ว เริ่มศึกษาเรื่องลึก ๆ อย่างวัสดุ, โครงสร้าง, ผู้รับเหมา ไปจนถึง “เทคโนโลยีกันแผ่นดินไหว” ต่าง ๆ ส่วน Baby Boomers ก็เริ่มเลี่ยงตึกสูง หันมามองบ้านแนวราบ หรือโครงการที่กล้าเปิด เอกสารรับรองโครงสร้าง ให้ดูแบบชัดเจน เช่น ใบรับรองมาตรฐานวิศวกรรม, รายละเอียดการทดสอบความทนทาน, ข้อมูลเสาเข็ม ฐานราก ฯลฯ
พูดง่าย ๆ คือ สมัยก่อนเราแค่ “เชื่อแบรนด์” แต่ยุคนี้เราต้อง “เชื่อจากหลักฐานข้อมูลโครงสร้างจริง” เท่านั้น!
ดีเวลลอปเปอร์ต้องปรับตัว: ใครไม่ ‘โปร่งใส’ มีสิทธิ์หลุดวงโคจรคนซื้อ!
ในมุมของผู้ประกอบการอสังหาฯ นี่คือการบ้านครั้งใหญ่! มันไม่ใช่แค่การทำโฆษณาที่เน้นคำว่า “โครงสร้างแข็งแรง” แล้วจบ แต่ต้องเปลี่ยนตั้งแต่กระบวนการทำงานจริง:
- ลงทุนกับวิศวกรรมแบบจริงจัง: ใช้มาตรฐานโครงสร้างที่เข้มกว่าเดิม ทำ Testing, Inspection, Audit ให้รู้แล้วรู้รอด แล้วที่สำคัญคือ “เอาข้อมูลจริงมาเล่าให้ลูกค้าฟัง” ไม่ใช่เก็บไว้เป็นความลับ
- เปลี่ยนวิธีสื่อสารแบรนด์: จากที่เคยเน้น “หรูหรา” “Lobby อลังการ” ต้องหันมาเน้นเรื่อง “ความมั่นคง-ความจริงใจ-ความโปร่งใส” เล่าเรื่องโครงสร้างให้คนทั่วไปเข้าใจง่าย ๆ ให้ดูเลยว่าบ้าน/คอนโดของแบรนด์เรามันรับมือกับแรงสั่นสะเทือนได้ยังไง
- รีเซ็ตวิธีขาย: โปรโมชั่น, ส่วนลด, เฟอร์นิเจอร์ฟรี อาจจะเอาไม่อยู่แล้ว แต่ต้องขายเรื่อง “คุณภาพการก่อสร้าง” เป็นอันดับแรก เพราะหลายเสียงในตลาดก็เริ่มพูดตรงกันว่า “ตลาดคอนโดไม่ได้ตายไปเพราะแผ่นดินไหว แต่มันจะกลับมาในรูปแบบใหม่ ที่คนสนใจคุณภาพมาตรฐานมากกว่าความฉาบฉวย”
เช็กลิสต์ใหม่…เวลาเลือกโครงการ: ไม่ใช่แค่สวย แต่ต้อง ‘โปร่งใสและแข็งแรงจริง’
สำหรับคนที่กำลังจะซื้อบ้านหรือคอนโดในช่วงนี้ ลองอัปเดตเช็กลิสต์ใหม่ตามนี้เลยนะ รับรองไม่พลาด:
- 🔍 เช็กแบรนด์ให้ถึงแก่น: แบรนด์นี้เคยมีข่าวเรื่องร้าว, ซ่อมบ่อย, หรือโครงสร้างมีปัญหามาก่อนไหม? โปรไฟล์บริษัทแม่มั่นคงแค่ไหน?
- 📜 ขอดูข้อมูลโครงสร้างจริง: ต้องกล้าขอ แบบโครงสร้าง (Structural Drawing), รายละเอียดวัสดุ (เหล็ก, ปูน), วิธีลงเสาเข็ม ฐานราก ว่าลึกและแน่นแค่ไหน เหมาะกับสภาพดินพื้นที่เราไหม
- 🛠️ ถามเรื่องมาตรการรองรับแผ่นดินไหว: เขาออกแบบรองรับแรงสั่นสะเทือนตามมาตรฐานล่าสุดของวิศวกรรมหรือไม่? มีการใช้เทคโนโลยีหรือวัสดุพิเศษช่วยลดแรงสั่นสะเทือนบ้างไหม?
- 🗣️ ดูรีวิวจากคนอยู่จริง: ไปถามชุมชนในโครงการเดิมของแบรนด์เดียวกันเลย ว่ามีปัญหาผนังร้าว พื้นทรุด เป็นเรื่องปกติไหม
สรุปคือ: ราคา-ทำเลยังสำคัญ แต่แพ้ “ความอุ่นใจ”
แน่นอนแหละว่าราคาและทำเลยังเป็นปัจจัยที่ทิ้งไม่ได้ แต่ในยุคที่โลกเราพูดถึงภัยพิบัติและสภาพอากาศสุดขั้วมากขึ้น คนซื้อเริ่มคิดไกลกว่าเดิม: “บ้านหลังนี้จะอยู่กับเราไปอีก 30-40 ปีไหม? ถ้ามีเหตุไม่คาดคิด เราจะเชื่อใจโครงสร้างได้จริง ๆ เหรอ?”
สุดท้ายแล้ว คนส่วนใหญ่ยอมจ่ายเพิ่มขึ้นหน่อยเพื่อความมั่นคงและอุ่นใจระยะยาว นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้ ‘โครงสร้าง-แบรนด์-ความปลอดภัย’ กลายเป็นสามเสาหลักของการตัดสินใจ ส่วนราคาและโลเคชันกลายเป็นปัจจัยรองที่ต้องตามมาทีหลังอย่างเลี่ยงไม่ได้
แผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่ได้แค่สั่นอาคาร แต่มันสั่น “มายด์เซ็ตคนซื้อบ้าน” ไปเรียบร้อยแล้ว! ใครที่ทำบ้านได้มั่นคง โปร่งใส และทำให้คนอยู่แล้วรู้สึกปลอดภัยที่สุด TerraBKK และคนซื้อยุคใหม่ก็จะเลือกคนนั้น!
FAQ 3 Topics
❓ Q1: ถ้าจะซื้อบ้าน/คอนโดใหม่หลังเกิดแผ่นดินไหวบ่อยขึ้น ควรเริ่มจากเช็กอะไรเป็นอย่างแรกเลย?
A1: โฟกัสไปที่ “โครงสร้างและมาตรฐานความปลอดภัย” ก่อนเลยค่ะ! อย่าเพิ่งดูทำเลหรือโปรโมชั่น ให้เช็กประวัติแบรนด์, ประวัติโครงการเก่าว่าเคยมีปัญหาโครงสร้างไหม จากนั้นขอข้อมูลเชิงเทคนิค เช่น แบบโครงสร้าง, วัสดุที่ใช้, มาตรฐานวิศวกรรมรองรับแผ่นดินไหว ถ้าผ่านด่านนี้แล้วค่อยไปเปรียบเทียบเรื่องราคาและทำเลต่อค่ะ
❓ Q2: ดูยังไงว่าโครงการนี้โครงสร้างแข็งแรงจริง ไม่ใช่แค่คำโฆษณาให้ดูสวยหรู?
A2: ต้องเป็นโครงการที่ “กล้าเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส” ค่ะ! ลองขอเอกสารเชิงเทคนิคจากเซลส์ดู เช่น Structural Drawing (แบบโครงสร้าง), รายละเอียดสเปควัสดุ (เหล็ก, ปูน), และข้อมูลบริษัทวิศวกรผู้ออกแบบ ถ้าโครงการมั่นใจในคุณภาพจริง เขาจะอธิบายและให้ข้อมูลได้ชัดเจน นอกจากนี้ ลองหาดูรีวิวจากคนอยู่จริงในโครงการเก่าของแบรนด์นั้น ๆ ว่ามีปัญหาผนังร้าว, พื้นทรุด หรือต้องซ่อมแซมบ่อย ๆ ไหมค่ะ
❓ Q3: ตกลงแล้วยุคนี้ยังควรซื้อคอนโดตึกสูงอยู่ไหม หรือควรเลี่ยงไปบ้านแนวราบดีกว่า?
A3: ตลาดคอนโดไม่ได้หายไปไหนค่ะ แต่จะ “ถูกยกระดับมาตรฐาน” ขึ้นไปอีกขั้น! โครงการคอนโดที่ลงทุนในโครงสร้างอย่างจริงจัง, สื่อสารโปร่งใส และใช้เทคโนโลยีที่ได้มาตรฐาน ยังคงมีดีมานด์สูงแน่นอนค่ะ แต่คนซื้อจะเข้มงวดและตรวจสอบละเอียดขึ้นมาก ถ้าคุณไม่มั่นใจในตึกสูงจริง ๆ การเลือกคอนโด Low Rise หรือบ้านแนวราบที่มีมาตรฐานโครงสร้างดีก็เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้ดีเหมือนกันค่ะ สำคัญที่สุดคือเลือกที่อยู่แล้ว “อุ่นใจ” ในระยะยาวค่ะ